skip to main
|
skip to sidebar
KRU DARAT
วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
ดูงาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
บทความใหม่กว่า
บทความที่เก่ากว่า
หน้าแรก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
งานส่งอาจารย์
http://kaikokgratai.blogspot.com
ดูงาน
kru jim
kru darat
นักศึกษา ป.บัณฑิต รุ่น 8
http://bamboo493.blogspot
http://uthaikana52.blogspot.com
http://krunee.blogspot.com
http://krunui2499.blogspot.com
http://tonksao2552.blogspot.com
http://krutavee.blogspot.com
http://kanyapak-dr.blogspot.com
http://dowsao20.blogspot.com
http://kruwat.blogspot.com
บทที่ 3 กลไกป้องกันตน
กลไกป้องกันตน (Defense Mechanism) เป็นหนึ่งในหัวข้อการศึกษาของ
จิตวิทยา
กลไกป้องกันตน เป็นรูปแบบของพฤติกรรมที่ใช้เพื่อบิดเบือนหรือหนีจากการต้องตระหนักรู้ถึงความจริงที่สร้างความวิตกกังวลซึ่งทำให้เกิดความทุกข์ใจ กลไกป้องกันตนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผิด นอกจากว่าเราใช้มันมากไปและบ่อย จนทำให้ขาดการับรู้ความที่เป็นจริงไปหรือใช้จนกระทั่งชีวิตประจำวันต้องผันแปรไปจากปกติ หากเป็นอย่างนี้ ก็เรียกได้ว่า เราเกิดพยาธิสภาพทางจิตขึ้นแล้ว เราแยกชนิดของกลไกป้องกันตน แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
1. กลไกป้องกันตนประเภทถอยหนี (Escape techniques) ใช้เพื่อหนีหรือหลีกเลี่ยงจากสถานการณ์ที่ทำให้เกิด
ความวิตกกังวล
การเก็บกด (Repression) ซึ่ง Freud เป็นคนเริ่มแนะนำคำๆนี้ โดยอธิบายว่าหมายถึง วิธีการที่บุคคลพยายามฝังความคิดที่ก่อให้เกิดความวิตกกังวลให้อยู่แต่ในจิตใต้สำนึก และรบกวนชีวิตประจำวันได้ ซึ่งการเก็บกดไม่เหมือนความพยายามไม่นึกถึง การไม่นึกถึงเป็นการเก็บกักความคิดหรือความรู้สึกโดยรู้ตัวว่าตัวเองพยายามเก็บอะไร ซึ่งความคิดหรือความรู้สึกนั้นยังฝังอยู่ในจิตสำนึกอยู่ แต่การเก็บกดนั้นเป็นการลบให้มันหายไปจากความรู้สึกและความทรงจำ ซึ่งความจริงแล้วมักไม่หายไปแต่จะเข้าไปฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของคนๆนั้น บางคนไม่ได้พยายามลบเฉพาะเหตุการณ์นั้นๆเท่านั้น แต่จะลบทุกอย่างที่เกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นๆด้วย การเก็บกดที่มีลักษณะเด่นชัดและมีความรุนแรงที่สุดนั้นอยู่ในรูปของ
โรคลืม
(
amnesia) ซึ่งบางครั้งอาจเกิดจากความผิดปกติทางกาย เช่น เกิดจากความเสียหายของเนื้อเยื่อในสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำ ซึ่งอาการของโรคนี้ที่มีสาเหตุจากทั้ง 2 ชนิด มีลักษณะคล้ายกัน จึงทำให้ยากต่อการแยกแยะว่าเกิดจากชนิดใด จึงต้องมีการตรวจหาสาเหตุควบคู่กันไป
การสร้างจินตนาการ (fantasy) ซึ่งมีหลายระดับ หลายรูปแบบที่พบบ่อย คือ การฝันกลางวัน (day dreaming) มักเกิดขึ้นบ่อยที่สุดในระยะที่บุคคลเข้าสู่วัยรุ่น อันเป็นวัยที่เขาไม่แน่ใจในบทบาทและเกิดความคับข้องใจจากความไม่แน่ใจนั้น และจากปัญหาอื่นๆซึ่งมักเกิดในวัยนี้ หากไม่สามารถที่จะปรับตัวเข้ากับความจริงได้ เขาอาจหนีเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการ จนในที่สุดอาจไม่สามารถแยกความจริงกับจินตนาการออกจากกันได้ และเกิดพยาธิสภาพทางพฤติกรรมขึ้น
การถอยกลับ (regression) นักจิตวิทยาบางคนเชื่อว่า การแสดงตนว่าป่วยไข้ของคนบางคน อาจเกิดจากการต้องการความสนใจจากคนอื่นๆ (hypochondriac) เหมือนเด็กๆที่ต้องการพึงพาพ่อแม่ การจะพึ่งพาคนอื่นจะทำได้ง่ายขึ้นเมื่อเราแสดงตัวว่าป่วย หากเป็นพฤติกรรมที่ทำเป็นประจำ จะเกิดขึ้นจากความคับข้องใจที่รุนแรง และการคงอยู่ของพฤติกรรมนั้นทำให้บุคคลแก้ไขความคับข้องใจได้ลำบากขึ้น
2.
กลไกป้องกันตนประเภทประนีประนอม (Compromise techniques) เราใช้มันเพื่อลดความเครียดอันเกิดจากความผิดพลาดหรือความล้มเหลวของตนเอง แต่การใช้ในปริมาณที่มากและบ่อยเกินไป ก็เป็นอาการที่บ่งบอกถึงความผิดปกติของพฤติกรรมที่รุนแรงได้
การซัดโทษ (projection) เป็นการเก็บกดและปิดลักษณะที่ไม่เหมาะสมของตนเอง และขณะเดียวกันก็ป้ายลักษณะที่ไม่เหมาะสมนั้นไปให้คนอื่น ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว จากการที่เราไม่ชอบ ไม่อยากเห็น ตัวเราเองไม่ดี จึงกล่าวหาว่าคนอื่นมีลักษณะนั้นๆแทนเสีย
การทดแทน (sublimation)
ซิกมุนด์ ฟรอยด์
กล่าวว่า การทดแทนเป็นการที่คนสร้างจุดมุ่งหมายที่ 2 ขึ้นมาแทนจุดมุ่งหมายที่พลาด จะใช้เมื่อเรากลัวการไม่ยอมรับจากสังคม โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องเพศ ซึ่งคนเราไม่สามารถที่จะสนองตอบความต้องการทางเพศของเราได้เสมอไป จึงต้องมีกิจกรรมอื่นเข้ามาเพื่อทดแทน เช่น การออกกำลังกาย วาดเขียนและเขียนหนังสือ เป็นต้น หากการทดแทนมีมากเกินไป อาจทำให้บุคคลสูญเสียความนับถือในตนเองได้
การกลบเกลื่อนโดยแสดงออกในทางตรงกันข้าม (reaction formation) การกลบเกลื่อนโดยแสดงออกในทางลบ เกิดจากการที่บุคคลมีแรงจูงใจที่ไม่เหมาะสม ขณะเดียวกันก็มีความโกรธโดยไม่รู้ตัว ว่าจะมีคนอื่นรู้และตำหนิเขาที่มีแรงจูงใจที่น่าละอายนั้น กลัวว่าคนอื่นจะมองว่าคุณค่าของตนเองลดลง ส่วนการกลบเกลื่อนโดยแสดงออกในทางบวก เป็นการพยายามแสดงความดีหรือแสดงพฤติกรรมที่สังคมยอมรับมากเกินขอบเขต
การชดเชย (compensation) เกิดจากการที่บุคคลเกิดความคับข้องใจในเป้าหมายที่ไม่สามารถบรรลุได้ จึงตั้งเป้าหมายใหม่ที่สามารถเป็นไปได้และใกล้เคียงกับเป้าหมายเดิม ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายการทดแทน แต่การทดแทน เกิดจากความคิดหรือความรู้สึกไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม ส่วนการเบนเป้าหมาย เกิดจากความล้มเหลวที่เกิดขึ้นแล้ว อย่างไรก็ตาม หากการเบนเป้าหมายมีมากเกินไปอาจทำให้คนอื่นรำคาญ และไม่ยอมรับในตัวบุคคลคนนั้นได้เช่นกัน
บทที่ 4 การปรับตัว
เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่นักวิจัยมากมายได้เปรียบเทียบพฤติกรรม
และการปรับตัวของเด็กๆที่อาศัยอยู่กับครอบครัวที่มีพ่อเลี้ยงหรือแม่เลี้ยงหรือครอบครัวที่สอง กับเด็กที่อยู่กับครอบครัวพ่อแม่เดิมมาตั้งแต่ต้น ซึ่งครอบครัวทั้งสองแแบบนี้มีลักษณะที่แตกต่างกัน ถึงแม่ว่าจะมีข้อมูลทางสถิติที่สำคัญ ๆ รายงานว่า มีความแตกต่างหลายอย่างที่ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่อีกส่วนหนึ่งของการศึกษาก็ได้แสดงให้เห็นว่า
ความแตกต่างนั้นได้ส่งผลต่อเด็กโดยมีข้อมูลหลักฐานยืนยันว่า เด็กที่อยู่ในครอบครัวที่สองหรือครอบครัวที่มีพ่อเลี้ยงหรือแม่เลี้ยงนั้นส่วนใหญ่มักจะเป็นเด็กที่เสียเปรียบและขาดโอกาส เพราะว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงไม่ค่อยจะมีความใกล้ชิดสนิทสนม และมักเกิดความขัดแย้งที่รุนแรง มากกว่าการมีความสัมพันธ์ที่เป็นปกติระหว่างเด็กกับผู้ปกครองแบบทั่ว ๆ ไป (Furstenburg, 1987;
Ganong & Coleman, 1987).
ส่วนในอีกด้านหนึ่งก็มีข้อมูลการศึกษา เพื่อชี้ให้เห็นความสำคัญในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวที่สอง (stepfamily) ซึ่งในที่นี้หมายถึงการทำอย่างไรที่จะให้ทั้งสองฝ่ายคือ พ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงและลูกเลี้ยงสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข และทำอย่างไรที่จะให้เด็กที่กำลังเข้าสู่สังคมวัยรุ่นนั้นมีสภาพจิตใจที่สมบูรณ์ดีได้ (Acock & Demo, 1994; Hetherington &
Jodl, 1994)
มีผลการศึกษาที่ได้เปรียบเทียบให้เห็นความสัมพันธ์ภายในครอบครัวและความเป็นอยู่ที่ดีของครอบครัว หลายๆรูปแบบ เมื่อครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งจะต้องมาถึงจุดแตกหัก (หรือแม้แต่ก่อนนั้นก็ตาม)คงจะเป็นการดีไม่น้อยถ้าหากพ่อแม่จะคำนึงถึงลูก ๆ กลัวว่าจะกลายเป็นเด็กที่ขาดโอกาส หากได้เข้าไปอาศัยอยู่กับครอบครัวที่สอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในจำนวนบรรดาพ่อแม่ที่หย่าร้างทั้งหมดต่างก็มีแผนที่จะแต่งงานใหม่ทั้งสิ้น และจะต้องสร้างครอบครัวที่สองขึ้นมา ข้อมูลต่อไปนี้จะช่วยให้เราทราบถึงปัจจัยต่างๆที่ทำให้เด็กตกอยู่ในภาวะที่ล่อแหลมต่อการเกิดปัญหาในอนาคต ซึ่งเราต้องป้องกันและช่วยเหลือพวกเขา โดยได้เปิดเผยลักษณะต่างๆของครอบ
ครัว ในแต่ละแบบ
เช่น ระดับความสำคัญของการทำหน้าที่ของพ่อแม่ที่ดี ความไม่ลงรอยกันในการดำเนินชีวิตคู่ของพ่อแม่ และความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่กับบรรดาลูก ๆ ที่เป็นวัยรุ่น จากผลการวิเคราะห์
เราได้พบรูปแบบที่เหมือนกัน
กล่าวคือ เหล่าวัยรุ่นทั้งหลายที่อยู่กับครอบครัวที่มีพ่อแม่ดั้งเดิมมาตลอดนั้น จะไม่ค่อยมีปัญหาเกี่ยวกับการเรียนและการปรับตัวเข้ากับสังคม (เช่น สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆและ ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่ยุ่งยากได้ เป็นคนร่าเริงอยู่ตลอดเวลา เชื่อฟังผู้ใหญ่ ปรับตัวเข้ากับคนอื่นได้ดี และมีความรับผิดชอบสูง) ส่วนวัยรุ่นที่พ่อแม่หย่าร้าง หรือแต่งงานใหม่ ต่างก็ประสบกับปัญหาต่าง ๆ มากมาย ซึ่งตรงกันข้ามกับวัยรุ่นที่อยู่กับครอบครัวดั้งเดิมมาแต่ต้น แม้ว่าจะพยายามมองว่าความแตกต่างนี้จะมีไม่มากก็ตาม ส่วนวัยรุ่นที่มารดาครองความเป็นหม้ายมาตลอดโดยทั่วไปการปรับตัวจะอยู่ใน
ระดับกลาง ๆ
สิ่งที่สำคัญคือ การเปรียบเทียบระหว่างรูปแบบของครอบครัวนั้นนอกจากการแสดงให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนแล้วยังมีข้อมูลด้านอื่นๆอีก คือ บรรดาวัยรุ่นมากมมายทั้งที่อยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่อย่าร้างและที่อยู่ในครอบครัวที่สอง (Stepfamily) ต่างก็ได้รับบาดแผลที่เจ็บปวดไปตาม ๆ กัน เพราะพบว่าวัยรุ่นเหล่านี้จะมีประสบการณ์การไม่ลงรอยกันระหว่างวัยรุ่นกับแม่ซึ่งมีสถิติอยู่ในระดับที่สูงมากที่สุด ส่วนการที่แม่ให้เวลาพูดคุยและเป็นที่ปรึกษากับลูกวัยรุ่นอย่างที่ควรจะเป็นจะอยู่ในระดับที่ต่ำสุดและการปรับตัวเข้ากับสังคมและโลกภายนอกก็อยู่ในระดับต่ำสุดเช่นกัน วัยรุ่นส่วนมากที่มาจากครอบครัวพ่อแม่อย่าร้าง การเรียนก็มักจะมีเกรดเฉลี่ยที่ต่ำมาก อะไรเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้วัยรุ่นที่ประสบกับครอบครัวพ่อแม่หย่าร้างแล้วมีคุณภาพชีวิตที่มีระดับต่ำกว่าปกติ จากการค้นคว้าวิธีการเพื่อช่วยเหลือเด็กวัยรุ่นเหล่านี้ได้สอดคล้องอย่างยิ่งกับผลการศึกษาที่ว่าด้วยเรื่อง ความขัดแย้งภายในครอบครัว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของปัญหา ความขัดแย้งนี้จะมีทั้งการที่วัยรุ่นไม่ลงรอยกับพ่อแม่ซึ่งจะมีบ่อย ๆ การกล่าววาจาจาบจ้วงล่วงเกินต่อพ่อแม่ และความขัดแย้งกันเองระหว่างแม่กับพ่อ รวมทั้งการไม่เอื้ออาทรต่อกันและกัน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตของวัยรุ่นและยังมีวัยรุ่นอีกมากมายในครอบครัวหย่าร้างและในครอบครัวที่ 2 ที่มีความรู้สึกว่าความขัดแย้งในครอบครัวถือเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา วัยรุ่นเหล่านี้จะรู้สึกเจ็บปวดทรมานเมื่อหวนคิดถึงประสบการณ์ต่าง ๆที่เป็นความขัดแย้งในครอบครัว ก่อนที่พ่อแม่ของเขาจะแยกทางกัน เช่น ความขัดแย้งที่มีเป็นประจำในชีวิตสมรส การคุกคามสิทธิของกันและกันระหว่างคู่สมรส ความไม่เสมอต้นเสมอปลายของการทำหน้าที่พ่อแม่ การข่มขู่ตระคอกใส่ลูก ๆ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ได้เป็นส่วนเสริมการตัดสินใจให้เกิดการอย่าร้าง และการเกิดปฏิปักษ์ต่อกันระหว่างพ่อและแม่ วัยรุ่นเองก็ได้ถูก
ดึงเข้ามามีส่วนในความขัดแย้งต่าง ๆ เหล่านั้น โดยจะถูกพ่อแม่ดึงให้อยู่ข้างใดข้างหนึ่ง และเขาจำเป็นจะต้องเลือกว่าจะอยู่ฝ่ายไหนหรือพยายามที่จะคงความสัมพันธ์ที่ไกล้ชิดทั้งคู่และเผชิญกับปัญหาความขัดแย้งอย่างนี้เรื่อยไป เราต่างก็ทราบดีว่าความขัดแย้งต่าง ๆ ในครอบครัวเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้แต่เราสามารถปรับตัวเพื่อยอมรับกันและกันได้ ความขัดแย้งนี้เองที่เปิดโอกาสให้สมาชิกในครอบครัวได้แสดงความรู้สึกของตนออกมา ทำให้ได้เรียนรู้จักกันและ
กันมากขึ้น และรื้อฟื้นความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นมา แต่ความเป็นจริงก็คือ ครอบครัวไม่ค่อยให้ความสำคัญในเรื่องนี้ จึงมักเกิดความขัดแย้งในครอบครัวบ่อยๆ และทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้บรรดาลูกๆ วัยรุ่นต้องได้รับความเจ็บปวด บรรดาวัยรุ่นที่มีความสุขและมีปัจจัยเกื้อหนุนที่ดีในครอบครัวที่สองนั้น การปรับตัวค่อนข้างจะดีกว่าวัยรุ่นที่ถูกความขัดแย้งครอบงำในครอบครัวแรก และเราก็รู้ว่าช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่เขาจะต้องทำกิจกรรมนอกบ้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งอิทธิพลของเพื่อนๆ และโรงเรียน จะเพิ่มความสำคัญขึ้นเรื่อย ๆ และสิ่งเหล่านี้ได้กินเวลา ความสนใจ และพลังงานส่วนใหญ่ของวัยรุ่นทั้งหลายไป ผลการวิจัยในหลายๆชิ้นได้เสนอว่า ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวยังคงเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญต่อชีวิตในช่วงวัยรุ่น วัยรุ่นจำนวนมากต้องการการเอาใจใส่จากพ่อแม่มากกว่าปกติ ต้องการคำแนะนำปรึกษาเรื่องการดำเนินชีวิตในแต่ละวันมากขึ้นเพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้อง บรรดาพ่อแม่ (รวมถึงพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยง) จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฟังเขา วัยรุ่นหลายคนบอกว่า พ่อแม่มักพูดเพียงฝ่ายเดียว ชอบสร้างกฏระเบียบและให้ฟังคำสั่งสอนต่างๆมากมาย แต่ไม่ได้ฟังเลยว่าเขาต้องการพูดอะไรและไม่ยอมพยายามเข้าใจความรู้สึกของเขาด้วย วัยรุ่นทั้งหลายต้องการจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับเพื่อนซึ่งเป็น
ลักษณะของพัฒนาการในวัยนี้ที่เขาต้องการเพื่อนมากเป็นพิเศษ พ่อแม่จะต้องเข้าใจและไม่รู้สึกเหมือนกับว่า ตนมีอำนาจในฐานะผู้ปกครองจะทำอะไรก็ได้ ซึ่งถือว่าไม่ให้ความสำคัญกับคนในครอบครัว ความคงเส้นคงวา และการใช้เวลาอยู่ร่วมกันจะช่วยบรรดาวัยรุ่นให้รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย ค้นพบความเป็นตัวของตัวเองและมีความสุขในชีวิต
บทที่ 5 ไม่ใช่เรื่องยาก
คนเราถ้ามีความพยายามท่จะทำอะไรแล้ว
ขอให้ตั้งใจแล้วจะประสบความสำเร็จ
ผู้ติดตาม
คลังบทความของบล็อก
▼
2009
(4)
►
มิถุนายน
(1)
▼
พฤษภาคม
(3)
ดูงาน
บทที่ 2 จิตวิทยาแนะแนว
บทที่ 1 การแนะแนวหมายถึง
เกี่ยวกับฉัน
fish
ดูโปรไฟล์ทั้งหมดของฉัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น